วิเคราะห์การเบิกจ่ายค่าตอบแทนการสอนอาจารย์พิเศษ ของคณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยพะเยา ประจำปีการศึกษา 2565
ผู้แต่ง:
สุธาสินี หินแก้ว
Download: 541 ครั้ง
|
บทคัดย่อ
การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1. สภาพปัจจุบันการเบิกจ่ายค่าตอบแทนการสอนของอาจารย์พิเศษ 2. วิเคราะห์การเบิกจ่ายค่าตอบแทนการสอนของอาจารย์พิเศษ และ 3. วิเคราะห์ภาระงานสอนของอาจารย์ประจำตามเกณฑ์ภาระงาน คณะทันตแพทยศาสตร์ ประจำปีการศึกษา 2565 การวิจัย พบว่า ชั่วโมงการสอนปีการศึกษา 2565 กลุ่มสาขาวิชาทันตกรรมบูรณะ มีค่าใช้จ่ายในการเชิญอาจารย์พิเศษมากที่สุด รองลงมาเป็นกลุ่มสาขาวิชาเวชศาสตร์ช่องปากและศัลยศาสตร์ และกลุ่มวิชาทันตกรรมป้องกันและทันตสาธารณสุขตามลำดับ โดยกลุ่มสาขาวิชาทันตกรรมบูรณะ สาขาวิชาทันตกรรมประดิษฐ์มีชั่วโมงการสอนมากที่สุด รองลงมาเป็นกลุ่มสาขาวิชาเวชศาสตร์ช่องปากและศัลยศาสตร์ สาขาวิชาศัลยศาสตร์ช่องปาก และสาขาวิชาวิทยาการวินิจฉัยโรคช่องปาก จำแนกได้ว่ากลุ่มสาขาวิชาทันตกรรมบูรณะ สาขาวิชาทันตกรรมประดิษฐ์ เชิญอาจารย์พิเศษมากที่สุด จำนวน 611 ชั่วโมง มีค่าตอบแทน 611,000 บาท กลุ่มสาขาวิชาเวชศาสตร์ช่องปากและศัลยศาสตร์ สาขาวิชาศัลยศาสตร์ช่องปาก เชิญอาจารย์พิเศษ จำนวน 527 ชั่วโมง มีค่าตอบแทน 527,000 บาท และกลุ่มสาขาวิชาทันตกรรมบูรณะ สาขาวิชาทันตกรรมหัตถการ เชิญอาจารย์พิเศษ จำนวน 400 ชั่วโมง มีค่าตอบแทน 400,000 บาท หากอาจารย์ประจำสอนตามเกณฑ์ภาระงานสอน จำนวน 1,050 ชั่วโมงตลอดปีการศึกษา คณะทันตแพทยศาสตร์จะประหยัดค่าใช้จ่ายในการเชิญอาจารย์พิเศษ จำนวน 2,904,000 บาท โดยมี 3 สาขาวิชา ที่มีภาระงานสอนมากกว่าเกณฑ์ภาระสอนที่กำหนดและสามารถเชิญอาจารย์พิเศษมาทำการสอนให้กับนิสิตได้ ได้แก่ กลุ่มสาขาวิชาทันตกรรมบูรณะ สาขาวิขาทันตกรรมประดิษฐ์ กลุ่มสาขาวิชาเวชศาสตร์ช่องปากและศัลยศาสตร์ สาขาวิชาศัลยศาสตร์ช่องปาก และสาขาวิชา
ทันตกรรมหัตถการ โดยมีงบประมาณการค่าตอบแทนอาจารย์พิเศษ จำนวน 1,170,000 บาท
Download
|
การรับฟังเสียงลูกค้าด้านการจัดการเรียนการสอนระดับปริญญาตรี คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
ผู้แต่ง:
นันท์ชญาณ์ แดนสีแก้วธัญ, กมลพร จันทาคึมบง
Download: 477 ครั้ง
|
บทคัดย่อ
การวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาความคาดหวังหรือความต้องการและความพึงพอใจของนิสิตด้านการจัดการเรียนการสอน 2) ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างความคาดหวังหรือความต้องการและความพึงพอใจของนิสิตด้านการจัดการเรียนการสอนระดับปริญญาตรีคณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม กลุ่มตัวอย่าง คือ นิสิตจำนวน 327 คน เก็บข้อมูลด้วยแบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการศึกษา ได้แก่ ความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน ผลการวิจัย พบว่า 1) กลุ่มตัวอย่างที่ศึกษาส่วนมากเป็นเพศหญิง ชั้นปีที่ 3 หลักสูตรสาธารณสุขศาสตรบัณฑิต 2) มีความคาดหวังหรือความต้องการด้านการจัดการเรียนการสอนระดับปริญญาตรี โดยรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็น รายด้านพบว่า กลุ่มตัวอย่างมีความคาดหวังหรือความต้องการในด้านผู้เรียนมากที่สุด รองลงมา คือ ด้านผู้สอน ด้านหลักสูตร และด้านสิ่งสนับสนุนการศึกษา เป็นลำดับสุดท้าย 3) มีความพึงพอใจด้านการจัดการเรียนการสอนระดับปริญญาตรี โดยรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่า มีความพึงพอใจในด้านผู้สอนมากที่สุด รองลงมา คือ ด้านหลักสูตร ด้านผู้เรียน และด้านสิ่งสนับสนุนการศึกษา เป็นลำดับสุดท้าย 4) ความคาดหวังหรือความต้องการและความพึงพอใจของนิสิตด้านการจัดการเรียนการสอน พบว่า ด้านหลักสูตร ด้านผู้สอน ด้านผู้เรียน และด้านสิ่งสนับสนุนการศึกษา มีความสัมพันธ์กันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01
Download
|
การพัฒนาระบบการยื่นคำร้องขอลงทะเบียนเรียนรายวิชาที่มีเงื่อนไขพิเศษในรายวิชาจำกัดจำนวน รูปแบบออนไลน์ คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่
ผู้แต่ง:
ศิรินภา โชติกมาศ, ธันยาภรณ์ ไกรน้อย
Download: 582 ครั้ง
|
บทคัดย่อ
การศึกษาในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาระบบการยื่นคำร้องขอลงทะเบียนเรียนรายวิชาที่มีเงื่อนไขพิเศษในรายวิชาจำกัดจำนวน รูปแบบออนไลน์ คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่ เพื่อการแก้ไขปัญหาความซับซ้อนในการทำงาน ลดเวลาการรอคอย ตรวจสอบสถานะคำร้องได้อย่างเป็นระบบ โดยการวางแผน ตัดสินใจ ออกแบบและพัฒนาระบบตามหลักวงจรการพัฒนาระบบ และเพื่อศึกษาความพึงพอใจของผู้ใช้งานต่อระบบดังกล่าว โดยการรวบรวมข้อมูลและวิเคราะห์แผนภูมิกระบวนการไหลเพื่อหาแนวทางการทำงานและปรับปรุงวิธีการทำงานด้วยหลักการ ECRS และพัฒนาระบบการยื่นคำร้องขอลงทะเบียนเรียนรายวิชาที่มีเงื่อนไขพิเศษในรายวิชาจำกัดจำนวน รูปแบบออนไลน์ โดยใช้โปรแกรมกูเกิลฟอร์ม และโปรแกรมกูเกิลลุคเกอร์สตูดิโอ ผลการศึกษา พบว่า การวิเคราะห์ระบบงานและนำเทคโนโลยีมาใช้ในการพัฒนาระบบการทำงานนั้น ทำให้งานมีประสิทธิภาพมากขึ้น ลดขั้นตอน ลดความสูญเปล่าของเวลาในการดำเนินการ ถึงแม้ว่าขั้นตอนการดำเนินงานของผู้ให้บริการจะเพิ่มขึ้นจากเดิม 3 ขั้นตอน เนื่องจากต้องมีการจัดทำฐานข้อมูลเฉพาะรายวิชาในแต่ละภาคการศึกษา แต่ระบบดังกล่าวสามารถลดขั้นตอนการยื่นคำร้องของนักศึกษาจากเดิมลงไปได้ 1 ขั้นตอน ลดปริมาณกระดาษที่ใช้ได้ร้อยละ 100.00 และลดระยะเวลาในการทำงานของผู้ใช้บริการจากรูปแบบเดิมได้ร้อยละ 43.86 ลดเวลาการยื่นคำร้องของผู้รับบริการได้ร้อยละ 71.36 และพบความพึงพอใจของผู้ใช้งานทั้งอาจารย์และนักศึกษาอยู่ในระดับมากที่สุด คิดเป็นค่าเฉลี่ยรวม 4.51 จากประเมิน 5 ระดับ
Download
|
ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อความตั้งใจในการผลิตผลงานทางวิชาการของบุคลากร สายสนับสนุนวิชาการ คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
ผู้แต่ง:
นวภัสร์ ปันใจ
Download: 488 ครั้ง
|
บทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1. ศึกษาระดับตัวแปรเจตคติต่อการผลิตผลงานทางวิชาการ การได้รับการสนับสนุนทางสังคม การรับรู้ความสามารถของตนในการผลิตผลงานทางวิชาการ ความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน ลักษณะงานที่ทำ และความตั้งใจในการผลิตผลงานทางวิชาการ 2. ศึกษาปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อความตั้งใจในการผลิตผลงานทางวิชาการ และ 3. ศึกษาความคิดเห็นเกี่ยวกับการผลิตผลงานทางวิชาการของบุคลากรสายสนับสนุนวิชาการ คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ บุคลากรสายสนับสนุนวิชาการ จำนวน 85 คน โดยวิธีการสุ่มแบบแบ่งชั้นภูมิ ใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล การวิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติพื้นฐานและการวิเคราะห์อิทธิพลด้วยเทคนิคการประมาณค่าภาวะน่าจะเป็นสูงสุด ผลการวิจัยพบว่า ในภาพรวมบุคลากรสายสนับสนุนวิชาการมีเจตคติต่อการผลิตผลงานทางวิชาการ การได้รับการสนับสนุนทางสังคม การรับรู้ความสามารถของตนในการผลิตผลงานทางวิชาการ ความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน และลักษณะงานที่ทำอยู่ในระดับมาก ส่วนความตั้งใจในการผลิตผลงานทางวิชาการในภาพรวมอยู่ในระดับปานกลาง สำหรับการศึกษาปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อความตั้งใจในการผลิตผลงานทางวิชาการของบุคลากรสายสนับสนุนวิชาการ พบว่าลักษณะงานที่ทำเป็นปัจจัยที่มีอิทธิพลสูงสุดต่อความตั้งใจในการผลิตผลงานทางวิชาการ โดยมีขนาดอิทธิพลรวมเท่ากับ 0.43 ขณะที่ปัจจัยอื่น ๆ ได้แก่ การรับรู้ความสามารถของตนในการผลิตผลงานทางวิชาการ เจตคติต่อการผลิตผลงานทางวิชาการ และความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน พบว่ามีอิทธิพลต่อความตั้งใจในการผลิตผลงานทางวิชาการในลำดับรองลงมาอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ โดยมีขนาดอิทธิพลรวมเท่ากับ 0.35, 0.27, 0.12 ตามลำดับ
Download
|
การพัฒนาหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ เรื่อง การใช้งานระบบบริหารจัดการงบประมาณ สำหรับบุคลากรคณะเกษตรศาสตร์และทรัพยากรธรรมชาติ มหาวิทยาลัยพะเยา
ผู้แต่ง:
จุฑามาศ ทินกรวงศ์
Download: 451 ครั้ง
|
บทคัดย่อ
การพัฒนาหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ เรื่อง การใช้งานระบบบริหารจัดการงบประมาณ สำหรับบุคลากรคณะเกษตรศาสตร์และทรัพยากรธรรมชาติ มหาวิทยาลัยพะเยา มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1. พัฒนาหนังสืออิเล็กทรอนิกส์การใช้งานระบบบริหารจัดการงบประมาณสำหรับบุคลากรคณะเกษตรศาสตร์และทรัพยากรธรรมชาติ ให้มีประสิทธิภาพ 2. เพื่อเปรียบเทียบความรู้และความเข้าใจของบุคลากรคณะเกษตรศาสตร์และทรัพยากรธรรมชาติ ก่อนและหลังการศึกษาระบบบริหารจัดการงบประมาณ โดยใช้หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ เรื่อง การใช้งานระบบบริหารจัดการงบประมาณ กลุ่มตัวอย่าง คือ บุคลากรคณะเกษตรศาสตร์และทรัพยากรธรรมชาติ มหาวิทยาลัยพะเยา จำนวน 15 คน เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ ประกอบด้วย หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ แบบทดสอบก่อนและหลังการศึกษา และแบบความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญด้านเทคนิคและเนื้อหา สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลคือ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าร้อยละ และการทดสอบค่า t-test ผลการศึกษาพบว่า หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ เรื่อง การใช้งานระบบบริหารจัดการงบประมาณ สำหรับบุคลากรคณะเกษตรศาสตร์และทรัพยากรธรรมชาติ ที่ผู้วิจัยพัฒนาขึ้นมีประสิทธิภาพ เท่ากับ 92.66/100 เป็นไปตามสมมติฐานที่ผู้วิจัยตั้งไว้ คือ 90/ 90 และผู้ใช้งานมีคะแนนหลังการศึกษาในหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ เรื่อง การใช้งานระบบบริหารจัดการงบประมาณ สำหรับบุคลากรคณะเกษตรศาสตร์และทรัพยากรธรรมชาติ สูงกว่าคะแนนก่อนการศึกษา อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05
Download
|
การวิเคราะห์ผลการประเมินตนเองตามมาตรฐานความปลอดภัยของห้องปฏิบัติการภาควิชาเทคโนโลยีและการจัดการสิ่งแวดล้อม คณะสิ่งแวดล้อมมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
ผู้แต่ง:
ณัฐพงษ์ เอียดเต็ม, ชุติ อากาศะชาติ, สิรภพ อบแพทย์
Download: 657 ครั้ง
|
บทคัดย่อ
งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อสำรวจและวิเคราะห์ผลการประเมินตนเองของห้องปฏิบัติการภาควิชาเทคโนโลยีและการจัดการสิ่งแวดล้อม คณะสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ตามรายการสำรวจสภาพความปลอดภัยตามระบบมาตรฐานความปลอดภัยห้องปฏิบัติการวิจัยในประเทศไทย (ESPReL Checklist) ของสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ตามองค์ประกอบความปลอดภัยทั้ง 7 ด้าน เมื่อเปรียบเทียบค่าคะแนนของการประเมินตนเองตามองค์ประกอบด้านความปลอดภัยปี พ.ศ. 2566 เทียบกับปี พ.ศ. 2565 พบว่า ค่าคะแนนองค์ประกอบหลักด้านความปลอดภัย 5 องค์ประกอบ จาก 7 องค์ประกอบ มีร้อยละผลคะแนนรวมที่เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 68.8 เป็น 74.9 เมื่อพิจารณารายละเอียดของแต่ละองค์ประกอบด้านความปลอดภัย เพื่อวิเคราะห์หาช่องว่างความปลอดภัย (Gap Analysis) พบว่า มีบางองค์ประกอบที่มีค่าต่ำกว่าร้อยละ 75.0 ได้แก่ องค์ประกอบที่ 1 การบริหารระบบการจัดการด้านความปลอดภัย (ร้อยละ 70.0) องค์ประกอบที่ 3.3 การลดการเกิดของเสีย (ร้อยละ 20.0) องค์ประกอบที่ 4.1 งานสถาปัตยกรรม (ร้อยละ 70.0) องค์ประกอบที่ 4.5 งานวิศวกรรมสุขาภิบาลและสิ่งแวดล้อม (ร้อยละ 66.7) องค์ประกอบที่ 5.1 การบริหารความเสี่ยง (ร้อยละ 64.0) องค์ประกอบที่ 5.2 การเตรียมความพร้อม/ตอบโต้ภาวะฉุกเฉิน (ร้อยละ 68.8) องค์ประกอบที่ 6 การให้ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับด้านความปลอดภัยในห้องปฏิบัติการ (ร้อยละ 29.6) และองค์ประกอบที่ 7 การจัดการข้อมูลและเอกสาร (ร้อยละ 60.7)
Download
|
การศึกษาเทคนิคการสร้างเสียงภาษาไทยจากปัญญาประดิษฐ์เพื่อใช้ผลิตสื่อมัลติมีเดีย
ผู้แต่ง:
กุลกานต์ สุทธิดารา, อลิษา แสงวิมาน, อาทิตยา บินฮาซัน
Download: 782 ครั้ง
|
บทคัดย่อ
ปัจจุบันปัญญาประดิษฐ์หรือ AI (Artificial Intelligence ) เข้ามามีบทบาทสำคัญในทุกภาคส่วน ซึ่งเทคโนโลยีการสร้างเสียงจากปัญญาประดิษฐ์ (Generate AI Voice) เป็นศาสตร์หนึ่งของ AI ที่ถูกนำมาใช้ประโยชน์ในการผลิตเสียงสังเคราะห์เลียนแบบเสียงพูดจริงของมนุษย์ เพื่อช่วยอำนวยความสะดวกในชีวิตประจำวันและการทำงาน การสร้างเสียงจากปัญญาประดิษฐ์นั้นอาศัยเทคโนโลยี 2 ด้านหลัก คือ
(1) การประมวลผลภาษาธรรมชาติ (NLP: Natural language processing) ร่วมกับ (2) เทคโนโลยีสังเคราะห์เสียงจากข้อความ (TTS: Text-to-Speech Synthesis) เพื่อแปลงข้อความจากตัวหนังสือให้เป็นเสียงพูดในภาษาต่าง ๆ ได้ โดยงานเทคโนโลยีการเรียนรู้ คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรีได้ใช้เสียงภาษาอังกฤษจาก AI ในงานผลิตสื่อมัลติมีเดีย ซึ่งสามารถใช้แทนการอัดเสียงจากห้องสตูดิโอได้เป็นอย่างดี แต่สำหรับการสร้างเสียงภาษาไทยจาก AI นั้นยังมีปัญหาเรื่องการอ่านออกเสียงที่ไม่ถูกต้องและไม่เป็นธรรมชาติอยู่ เนื่องจากโครงสร้างทางภาษาไทยมีความซับซ้อนและไม่มีการเว้นช่องว่างระหว่างคำเหมือนภาษาอังกฤษ งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาเทคนิคการป้อนข้อความภาษาไทยในซอฟต์แวร์การสร้างเสียงจากปัญญาประดิษฐ์ (Generate AI Voice) ให้ได้เสียงพูดสังเคราะห์ที่แม่นยำและเป็นธรรมชาติ โดยมีกระบวนการ ดังนี้ 1) ศึกษารายละเอียดข้อมูลและวิเคราะห์ซอฟต์แวร์ที่ให้บริการแปลงข้อความให้เป็นเสียงพูดเพื่อเลือกซอฟต์แวร์ที่เหมาะสมกับการใช้งาน และเนื้อหาที่ต้องการผลิตสื่อ 2) ทดลองป้อนเนื้อหาในซอฟต์แวร์ที่เลือกเพื่อเก็บรวบรวมข้อมูลด้านความถูกต้องของการออกเสียง และด้านความเป็นธรรมชาติของเสียง (จังหวะ ความเร็ว และการเว้นวรรค) ผลการศึกษาพบว่า จากการทดลองใช้เทคนิค ความถูกต้องของการออกเสียงและความเป็นธรรมชาติของเสียงดีขึ้นตามลำดับ ในการทดลองครั้งที่ 1 ความถูกต้องของการออกเสียงคิดเป็นร้อยละ 92 จนถึงครั้งที่ 30 คิดเป็นร้อยละ 100 และความเป็นธรรมชาติของเสียงปรับจากเสียงที่อ่านเร็วเกินไป และขาดจังหวะหายใจ มาเป็นเสียงที่จังหวะพอดีเข้ากับสื่อที่ผลิต ดังนั้นขั้นตอนการเตรียมพร้อมของข้อความก่อนที่จะป้อนลงซอฟต์แวร์เป็น สิ่งสำคัญ เช่น การเว้นวรรคคำใหม่ การใช้สัญลักษณ์พิเศษ การถอดอักษรเป็นคาราโอเกะสำหรับคำที่มีความซับซ้อนในการอ่าน โดยสามารถสรุปเป็นเทคนิคที่สำคัญในการการสร้างเสียงจาก AI เพื่อใช้ผลิตสื่อมัลติมีเดียได้ 8 ข้อ
Download
|
สำรวจความรู้ ความเข้าใจระเบียบการเบิกจ่ายค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการของบุคลากรคณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
ผู้แต่ง:
มธุรดา สิงสุธรรม , นิรมล จำนงศรี, ธัญญธร พัวพิทยาธร , อนันต์ แพงจันทร์, ลลิตตา หินเทา, ศศิธร เทียมมาลา
Download: 655 ครั้ง
|
บทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) สำรวจความรู้และความเข้าใจในระเบียบการเบิกจ่ายค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการ 2) เพื่อศึกษาปัญหาการจัดทำเอกสารเบิกจ่ายค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการของบุคลากรคณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ คือ บุคลากรสังกัดคณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ที่ปฏิบัติงานจริงในปีงบประมาณ 2566 จำนวนทั้งสิ้น 56 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถาม แบ่งออกเป็น 4 ตอน คือ ตอนที่ 1 ข้อมูลสภาพทั่วไปของผู้ตอบแบบสอบถาม ตอนที่ 2 แบบสอบถามความรู้และความเข้าใจในระเบียบค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการ ตอนที่ 3 แบบสอบถามความคิดเห็นเกี่ยวกับปัญหาของการจัดทำเอกสารการเบิกจ่ายในการเดินทางไปราชการ และตอนที่ 4 ข้อเสนอแนะ ความคิดเห็นเพิ่มเติมเกี่ยวข้องกับปัญหาการจัดทำเอกสารของผู้ตอบแบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยพบว่า บุคลากรส่วนใหญ่มีระดับความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับระเบียบการเบิกจ่ายค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการอยู่ที่ระดับมากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 42.86 รองลงมามีระดับความรู้ความเข้าใจอยู่ที่ระดับมาก คิดเป็นร้อยละ 39.29 มีระดับความรู้ความเข้าใจอยู่ที่ระดับปานกลาง คิดเป็นร้อยละ 17.86 ตามลำดับ และมีความคิดเห็นเกี่ยวกับปัญหาการจัดทำเอกสารเบิกจ่ายค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการ ภาพรวมอยู่ที่ระดับมาก มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ ( =4.33, S.D.=0.08) ส่วนข้อเสนอแนะพบว่าควรมีการสร้างคู่มือการเบิกค่าใช้จ่ายการเดินทางไปราชการเพื่อเป็นคู่มือให้แก่ผู้ปฏิบัติงานได้นำไปใช้ในการปฏิบัติงาน เพื่อความถูกต้องตามระเบียบปฏิบัติ
Download
|
ดูรายการทั้งหมด |