สำรวจความรู้ ความเข้าใจระเบียบการเบิกจ่ายค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการของบุคลากรคณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
ผู้แต่ง:
มธุรดา สิงสุธรรม , นิรมล จำนงศรี, ธัญญธร พัวพิทยาธร , อนันต์ แพงจันทร์, ลลิตตา หินเทา, ศศิธร เทียมมาลา
Download: 220 ครั้ง
|
บทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) สำรวจความรู้และความเข้าใจในระเบียบการเบิกจ่ายค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการ 2) เพื่อศึกษาปัญหาการจัดทำเอกสารเบิกจ่ายค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการของบุคลากรคณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ คือ บุคลากรสังกัดคณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ที่ปฏิบัติงานจริงในปีงบประมาณ 2566 จำนวนทั้งสิ้น 56 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถาม แบ่งออกเป็น 4 ตอน คือ ตอนที่ 1 ข้อมูลสภาพทั่วไปของผู้ตอบแบบสอบถาม ตอนที่ 2 แบบสอบถามความรู้และความเข้าใจในระเบียบค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการ ตอนที่ 3 แบบสอบถามความคิดเห็นเกี่ยวกับปัญหาของการจัดทำเอกสารการเบิกจ่ายในการเดินทางไปราชการ และตอนที่ 4 ข้อเสนอแนะ ความคิดเห็นเพิ่มเติมเกี่ยวข้องกับปัญหาการจัดทำเอกสารของผู้ตอบแบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยพบว่า บุคลากรส่วนใหญ่มีระดับความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับระเบียบการเบิกจ่ายค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการอยู่ที่ระดับมากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 42.86 รองลงมามีระดับความรู้ความเข้าใจอยู่ที่ระดับมาก คิดเป็นร้อยละ 39.29 มีระดับความรู้ความเข้าใจอยู่ที่ระดับปานกลาง คิดเป็นร้อยละ 17.86 ตามลำดับ และมีความคิดเห็นเกี่ยวกับปัญหาการจัดทำเอกสารเบิกจ่ายค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการ ภาพรวมอยู่ที่ระดับมาก มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ ( =4.33, S.D.=0.08) ส่วนข้อเสนอแนะพบว่าควรมีการสร้างคู่มือการเบิกค่าใช้จ่ายการเดินทางไปราชการเพื่อเป็นคู่มือให้แก่ผู้ปฏิบัติงานได้นำไปใช้ในการปฏิบัติงาน เพื่อความถูกต้องตามระเบียบปฏิบัติ
Download
|
การพัฒนาระบบสารสนเทศสำหรับการตรวจสอบภายใน สถาบันวิจัยพหุศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
ผู้แต่ง:
กุลางกูร พัฒนเมธาดา, พรรณี ศรีเรือน
Download: 154 ครั้ง
|
บทคัดย่อ
งานวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาระบบสารสนเทศสำหรับการตรวจสอบภายใน สถาบันวิจัย พหุศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 2) ประเมินผลระบบสารสนเทศสำหรับการตรวจสอบภายใน สถาบันวิจัย พหุศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ โดยผู้วิจัยได้ศึกษาปัญหาและอุปสรรคของกระบวนการตรวจสอบภายในของสถาบันวิจัยพหุศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ จากนั้น ดำเนินการออกแบบและพัฒนาระบบสารสนเทศสำหรับการตรวจสอบภายในที่ได้นำระบบเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาช่วยในการบริหารจัดการข้อมูลของระบบ รวมถึงบูรณาการข้อมูลดิจิทัลกับระบบสารสนเทศอื่นของสถาบันฯ ทำให้ได้ระบบสารสนเทศสำหรับการตรวจสอบภายใน สถาบันวิจัยพหุศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ประกอบด้วย 8 ประเด็นการตรวจสอบ ได้แก่ 1) การติดตามผลการตรวจสอบครั้งก่อน 2) การดำเนินงานด้านการรับ-นำส่งเงิน 3) การดำเนินงานด้านงานวิจัย 4) การดำเนินงานโครงการบริการวิชาการ 5) การดำเนินงานด้านการให้เช่าสถานที่/ค่าสาธารณูปโภค 6) รายงานกองทุนเงินส่งเสริมและพัฒนางานวิจัยประจำปี 7) ผลการดำเนินงานตามคำรับรองกับมหาวิทยาลัย 8) การควบคุมภายในด้านการจ่ายเช็ค ผลที่ได้จากการประเมินคุณภาพของการจัดการข้อมูลสำหรับการตรวจสอบภายในโดยใช้ระบบงานเดิมและระบบงานที่พัฒนา พบว่า ระบบสารสนเทศสำหรับการตรวจสอบภายในสถาบันวิจัยพหุศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ช่วยลดระยะเวลาจัดเตรียมเอกสารก่อนการตรวจสอบภายใน ลดจำนวนเอกสารที่ใช้ในการตรวจสอบภายใน มีกระบวนการกำกับติดตามและควบคุมความเสี่ยง และสามารถตรวจสอบภายในผ่านช่องทางออนไลน์ นอกจากนี้ยังพบว่า ผู้ใช้งานระบบสารสนเทศสำหรับการตรวจสอบภายใน มีความพึงพอใจต่อระบบโดยรวมระดับมากที่สุด โดยมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.66 และค่าเฉลี่ยของความพึงพอใจมากที่สุด คือ ด้านความง่ายต่อการใช้งาน และด้านการใช้งานระบบโดยรวม รองลงมา คือ ด้านตรงตามความต้องการ ด้านการรักษาความปลอดภัยของข้อมูล และด้านประสิทธิภาพ
Download
|
วิเคราะห์การเบิกจ่ายค่าตอบแทนการสอนอาจารย์พิเศษ ของคณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยพะเยา ประจำปีการศึกษา 2565
ผู้แต่ง:
สุธาสินี หินแก้ว
Download: 163 ครั้ง
|
บทคัดย่อ
การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1. สภาพปัจจุบันการเบิกจ่ายค่าตอบแทนการสอนของอาจารย์พิเศษ 2. วิเคราะห์การเบิกจ่ายค่าตอบแทนการสอนของอาจารย์พิเศษ และ 3. วิเคราะห์ภาระงานสอนของอาจารย์ประจำตามเกณฑ์ภาระงาน คณะทันตแพทยศาสตร์ ประจำปีการศึกษา 2565 การวิจัย พบว่า ชั่วโมงการสอนปีการศึกษา 2565 กลุ่มสาขาวิชาทันตกรรมบูรณะ มีค่าใช้จ่ายในการเชิญอาจารย์พิเศษมากที่สุด รองลงมาเป็นกลุ่มสาขาวิชาเวชศาสตร์ช่องปากและศัลยศาสตร์ และกลุ่มวิชาทันตกรรมป้องกันและทันตสาธารณสุขตามลำดับ โดยกลุ่มสาขาวิชาทันตกรรมบูรณะ สาขาวิชาทันตกรรมประดิษฐ์มีชั่วโมงการสอนมากที่สุด รองลงมาเป็นกลุ่มสาขาวิชาเวชศาสตร์ช่องปากและศัลยศาสตร์ สาขาวิชาศัลยศาสตร์ช่องปาก และสาขาวิชาวิทยาการวินิจฉัยโรคช่องปาก จำแนกได้ว่ากลุ่มสาขาวิชาทันตกรรมบูรณะ สาขาวิชาทันตกรรมประดิษฐ์ เชิญอาจารย์พิเศษมากที่สุด จำนวน 611 ชั่วโมง มีค่าตอบแทน 611,000 บาท กลุ่มสาขาวิชาเวชศาสตร์ช่องปากและศัลยศาสตร์ สาขาวิชาศัลยศาสตร์ช่องปาก เชิญอาจารย์พิเศษ จำนวน 527 ชั่วโมง มีค่าตอบแทน 527,000 บาท และกลุ่มสาขาวิชาทันตกรรมบูรณะ สาขาวิชาทันตกรรมหัตถการ เชิญอาจารย์พิเศษ จำนวน 400 ชั่วโมง มีค่าตอบแทน 400,000 บาท หากอาจารย์ประจำสอนตามเกณฑ์ภาระงานสอน จำนวน 1,050 ชั่วโมงตลอดปีการศึกษา คณะทันตแพทยศาสตร์จะประหยัดค่าใช้จ่ายในการเชิญอาจารย์พิเศษ จำนวน 2,904,000 บาท โดยมี 3 สาขาวิชา ที่มีภาระงานสอนมากกว่าเกณฑ์ภาระสอนที่กำหนดและสามารถเชิญอาจารย์พิเศษมาทำการสอนให้กับนิสิตได้ ได้แก่ กลุ่มสาขาวิชาทันตกรรมบูรณะ สาขาวิขาทันตกรรมประดิษฐ์ กลุ่มสาขาวิชาเวชศาสตร์ช่องปากและศัลยศาสตร์ สาขาวิชาศัลยศาสตร์ช่องปาก และสาขาวิชา
ทันตกรรมหัตถการ โดยมีงบประมาณการค่าตอบแทนอาจารย์พิเศษ จำนวน 1,170,000 บาท
Download
|
ความคาดหวังและความพึงพอใจของผู้เข้าร่วมโครงการ PSU Open Mobility คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
ผู้แต่ง:
นูรฮัม ฮะซา, พิภัตน์ เผ่าจินดา
Download: 274 ครั้ง
|
บทคัดย่อ
งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์คือ 1) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของผู้เข้าร่วมโครงการ PSU Open Mobility ของคณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ระหว่างปีพ.ศ. 2564-2566 2) เพื่อศึกษาความคาดหวังของผู้เข้าร่วมโครงการ PSU Open Mobility ระหว่างปีพ.ศ. 2564-2566 ต่อการส่งเสริมความเป็นนานาชาติของคณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ประชากรที่ใช้ในการศึกษา คือ ผู้เข้าร่วมโครงการ PSU Open Mobility จำนวน 14 โครงการย่อยที่จัดขึ้นระหว่างเดือนกันยายน พ.ศ. 2564 ถึงเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2566 จำนวน 1,616 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถามออนไลน์ ซึ่งมีค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) เท่ากับ 1 โดยแบ่งเป็น 3 ส่วน คือ 1) ข้อมูลทั่วไปของผู้เข้าร่วม 2) ความพึงพอใจของผู้เข้าร่วมต่อการจัดโครงการ PSU Open Mobility และ 3) ความคาดหวังของผู้เข้าร่วมต่อการส่งเสริมความเป็นนานาชาติของคณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ผลการศึกษาพบว่า 1) ผู้เข้าร่วมส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง ร้อยละ 70.70 มีสถานภาพเป็นนักศึกษา ร้อยละ 89.99 มีช่วงอายุระหว่าง 18-23 ปี ร้อยละ 48.80 และมีระดับการศึกษาสูงสุด คือ ปริญญาตรี ร้อยละ 80.12 ซึ่งตรงตามกลุ่มเป้าหมายของโครงการฯ 2) ความพึงพอใจของผู้เข้าร่วมต่อการจัดโครงการ PSU Open Mobility มีความพึงพอใจอยู่ในระดับมากที่สุดอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ปีพ.ศ. 2564-2566 โดยมีค่าเฉลี่ยในปีพ.ศ. 2564 คือ (µ=4.51, σ=0.16) ในปีพ.ศ. 2565 คือ (µ=4.64, σ=0.18) และในปีพ.ศ. 2566 คือ (µ=4.64, σ=0.13) และ 3) ความคาดหวังของผู้เข้าร่วมต่อการส่งเสริม ความเป็นนานาชาติของคณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ เสนอให้จัดกิจกรรมทางวัฒนธรรมนานาชาติภายในมหาวิทยาลัยมากที่สุด ติดต่อกันตั้งแต่ปี พ.ศ. 2564-2566 คิดเป็นร้อยละ 30.20 ในปีพ.ศ. 2564 ร้อยละ 23.88 ในปีพ.ศ. 2565 และร้อยละ 16.91 ในปี พ.ศ. 2566
Download
|
ปัจจัยส่วนบุคคลและการรับรู้สื่อประชาสัมพันธ์ที่ส่งผลต่อการตัดสินใจเลือกเข้าศึกษาต่อระดับปริญญาตรี ของนิสิตคณะเศรษฐศาสตร์และบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยทักษิณ วิทยาเขตสงขลา
ผู้แต่ง:
ณิชา ตันติรักษ์ธรรม
Download: 164 ครั้ง
|
บทคัดย่อ
บทความวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) ปัจจัยส่วนบุคคลของนิสิตที่ส่งผลการตัดสินใจเลือกเข้าศึกษาต่อระดับปริญญาตรี และ 2) การรับรู้สื่อประชาสัมพันธ์ที่ส่งผลต่อการตัดสินใจเลือกเข้าศึกษาต่อระดับปริญญาตรี เก็บรวบรวมข้อมูลจากนิสิตระดับปริญญาตรี คณะเศรษฐศาสตร์และบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยทักษิณ วิทยาเขตสงขลา ประจำปีการศึกษา 2565 จำนวน 248 ตัวอย่าง ด้วยการสุ่มตัวอย่างแบบบังเอิญ (Accidental Sampling) สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สถิติ t test F-test วิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว (ANOVA) และการวิเคราะห์สมการถดถอยเชิงพหุคูณ (Multiple regression Analysis) ผลการวิจัย พบว่า สาขาวิชาที่กำลังศึกษาต่างกัน ส่งผลต่อการตัดสินใจเลือกเข้าศึกษาต่อระดับปริญญาตรี แตกต่างกัน และปัจจัยการรับรู้สื่อประชาสัมพันธ์ที่ส่งผลต่อการตัดสินใจเลือกเข้าศึกษาต่อระดับปริญญาตรี มี 2 ปัจจัย เรียงลำดับจากมากไปน้อย ได้แก่ สื่อบุคคล และสื่อเฉพาะกิจ โดยทั้ง 2 ปัจจัย ส่งผลในทิศทางเดียวกันกับการตัดสินใจเลือกเข้าศึกษาต่อระดับปริญญาตรี ทั้งนี้ ปัจจัยทั้งหมดสามารถอธิบายการเปลี่ยนแปลงการตัดสินใจเลือกเข้าศึกษาต่อระดับปริญญาตรี ได้ร้อยละ 50.9 และ 38.8 ซึ่งมาจากการพิจารณาจากข้อมูลปัจจัยภายในและภายนอก
Download
|
การวิเคราะห์บทความตีพิมพ์ในวารสารวิชาการระดับนานาชาติ ในฐานข้อมูล Scopus จากโครงการวิจัยที่ได้รับทุนเงินรายได้มหาวิทยาลัยมหิดล ประเภท ทุนสนับสนุนนักวิจัยหลังปริญญาเอก ปีงบประมาณ 2561 - 2565
ผู้แต่ง:
ธนภัทร เลิศมงคลอักษร
Download: 159 ครั้ง
|
บทคัดย่อ
การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์บทความตีพิมพ์ในวารสารวิชาการระดับนานาชาติ ในฐานข้อมูล Scopus จากโครงการวิจัยที่ได้รับทุนเงินรายได้มหาวิทยาลัยมหิดล ประเภท ทุนสนับสนุนนักวิจัยหลังปริญญาเอก ปีงบประมาณ 2561 - 2565 การศึกษาในครั้งนี้ใช้วิธีวิจัยเชิงปริมาณ โดยใช้วิธีการสืบค้นและเก็บรวบรวมจำนวนบทความตีพิมพ์ที่ได้รับการตีพิมพ์ในระดับนานาชาติ โดยมีนักวิจัยหลังปริญญาเอกเป็นผู้ประพันธ์ชื่อแรก (First author) สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติพรรณนา คือ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ผลการศึกษา พบว่า มหาวิทยาลัยมหิดลมีจำนวนบทความตีพิมพ์ระดับนานาชาติในฐานข้อมูล Scopus ระหว่าง พ.ศ. 2561 - 2565 จำนวนทั้งสิ้น 66 บทความ โดยมีผลงานตีพิมพ์สูงสุดในปีงบประมาณ 2561 (ร้อยละ 133.33) รองลงมาปีงบประมาณ 2562 (ร้อยละ 84.62) และในปีงบประมาณ 2563 - 2565 อาจเป็นผลมาจากการตีพิมพ์บทความวิจัยจะเกิดหลังจากสิ้นสุดการรับทุนแล้วประมาณ 1 - 2 ปี จากผลการวิจัยในข้อ 1.5 จึง คาดว่าในอนาคตปีงบประมาณ 2563 - 2565 จะมีบทความตีพิมพ์เพิ่มขึ้น รวมถึงบทความตีพิมพ์อาจไม่เป็นไปตามที่คาด โดยอาจมีปัจจัยในหลายด้าน ผลการศึกษาในครั้งนี้นำมาสู่การปรับปรุงและพัฒนาแนวทางการบริหารงานวิจัย คือ มหาวิทยาลัยควรส่งเสริมและกระตุ้นให้นักวิจัยสามารถสร้างผลงานวิจัยให้เพิ่มมากขึ้น เพื่อให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ของมหาวิทยาลัยและยุทธศาสตร์ประเทศ รวมทั้งการส่งเสริมกำลังคนที่จะมาช่วยในการพัฒนางานวิจัยและบทความตีพิมพ์ ข้อเสนอแนะประการสุดท้าย คือ การส่งเสริมให้นักวิจัยมีทัศนคติที่ดีต่อการทำวิจัยและสร้างผลงานการตีพิมพ์ระดับนานาชาติ มีความภาคภูมิใจต่อมหาวิทยาลัยรวมถึงความก้าวหน้าในอาชีพ และได้รับการยอมรับในวงการวิชาการ
Download
|
การพัฒนาระบบการยื่นคำร้องขอลงทะเบียนเรียนรายวิชาที่มีเงื่อนไขพิเศษในรายวิชาจำกัดจำนวน รูปแบบออนไลน์ คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่
ผู้แต่ง:
ศิรินภา โชติกมาศ, ธันยาภรณ์ ไกรน้อย
Download: 190 ครั้ง
|
บทคัดย่อ
การศึกษาในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาระบบการยื่นคำร้องขอลงทะเบียนเรียนรายวิชาที่มีเงื่อนไขพิเศษในรายวิชาจำกัดจำนวน รูปแบบออนไลน์ คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่ เพื่อการแก้ไขปัญหาความซับซ้อนในการทำงาน ลดเวลาการรอคอย ตรวจสอบสถานะคำร้องได้อย่างเป็นระบบ โดยการวางแผน ตัดสินใจ ออกแบบและพัฒนาระบบตามหลักวงจรการพัฒนาระบบ และเพื่อศึกษาความพึงพอใจของผู้ใช้งานต่อระบบดังกล่าว โดยการรวบรวมข้อมูลและวิเคราะห์แผนภูมิกระบวนการไหลเพื่อหาแนวทางการทำงานและปรับปรุงวิธีการทำงานด้วยหลักการ ECRS และพัฒนาระบบการยื่นคำร้องขอลงทะเบียนเรียนรายวิชาที่มีเงื่อนไขพิเศษในรายวิชาจำกัดจำนวน รูปแบบออนไลน์ โดยใช้โปรแกรมกูเกิลฟอร์ม และโปรแกรมกูเกิลลุคเกอร์สตูดิโอ ผลการศึกษา พบว่า การวิเคราะห์ระบบงานและนำเทคโนโลยีมาใช้ในการพัฒนาระบบการทำงานนั้น ทำให้งานมีประสิทธิภาพมากขึ้น ลดขั้นตอน ลดความสูญเปล่าของเวลาในการดำเนินการ ถึงแม้ว่าขั้นตอนการดำเนินงานของผู้ให้บริการจะเพิ่มขึ้นจากเดิม 3 ขั้นตอน เนื่องจากต้องมีการจัดทำฐานข้อมูลเฉพาะรายวิชาในแต่ละภาคการศึกษา แต่ระบบดังกล่าวสามารถลดขั้นตอนการยื่นคำร้องของนักศึกษาจากเดิมลงไปได้ 1 ขั้นตอน ลดปริมาณกระดาษที่ใช้ได้ร้อยละ 100.00 และลดระยะเวลาในการทำงานของผู้ใช้บริการจากรูปแบบเดิมได้ร้อยละ 43.86 ลดเวลาการยื่นคำร้องของผู้รับบริการได้ร้อยละ 71.36 และพบความพึงพอใจของผู้ใช้งานทั้งอาจารย์และนักศึกษาอยู่ในระดับมากที่สุด คิดเป็นค่าเฉลี่ยรวม 4.51 จากประเมิน 5 ระดับ
Download
|
การสำรวจความต้องการและความพึงพอใจต่อโปรแกรมการเรียนรู้เพื่อส่งเสริม การเรียนรู้แบบนำตนเองสำหรับแพทย์ในหลักสูตรแพทย์ประจำบ้านสาขา/อนุสาขา คณะแพทยศาสตร์วชิรพยาบาล มหาวิทยาลัยนวมินทราธิราช
ผู้แต่ง:
รุ่งรัตน์ ผลสวัสดิ์
Download: 135 ครั้ง
|
บทคัดย่อ
งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความต้องการในการพัฒนาโปรแกรมการเรียนรู้เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้แบบนำตนเองและศึกษาผลการใช้โปรแกรมการเรียนรู้เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้แบบนำตนเองสำหรับแพทย์ประจำบ้านสาขาและอนุสาขา คณะแพทยศาสตร์วชิรพยาบาล มหาวิทยาลัยนวมินทราธิราช เป็นการวิจัยในขั้นต้นโดยใช้การวิจัยเชิงสำรวจด้วยการเก็บข้อมูลกับกลุ่มตัวอย่างที่เป็นแพทย์ประจำบ้าน จำนวน 32 คน โดยใช้สถิติพื้นฐานในการวิเคราะห์ข้อมูล และการหาคุณภาพของเครื่องมือด้วยค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) ผลการศึกษาพบว่า แพทย์ประจำบ้านมีความต้องการสื่อในการเรียนรู้ประเภทของสื่อดิจิทัล โดยมีความต้องการสื่อประเภทวิดีโอมากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 37.50 รองลงมาเป็น สื่อประเภทข้อความ คิดเป็นร้อยละ 21.88 และ สื่อประเภทสื่อประสม คิดเป็นร้อยละ 18.75 ส่วนความต้องการโปรแกรมเรียนรู้ ในด้านรูปแบบการเรียนรู้ที่สนใจ พบว่า มีความต้องการรูปแบบการเรียนรู้ผ่านระบบแอปพลิเคชันบนอุปกรณ์เคลื่อนที่มากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 34.27 รองลงมาเป็นรูปแบบการเรียนรู้ผ่านระบบแพลตฟอร์มการเรียนรู้ดิจิทัล คิดเป็นร้อยละ 25 และรูปแบบการเรียนรู้ผ่านระบบสื่อสังคมออนไลน์ คิดเป็นร้อยละ 21.87 สำหรับความพึงพอใจที่มีต่อการใช้งานแอปพลิเคชัน การเรียนรู้ด้วยตนเองของแพทย์ประจำบ้าน ในด้านภาพรวม พบว่า มีระดับความพึงพอใจอยู่ในระดับมาก ส่วนในรายด้านพบว่า ด้านสื่อ มีคะแนนอยู่ในอันดับสูงที่สุด โดยมีระดับความพึงพอใจอยู่ในระดับมาก ส่วนด้านการสืบค้นข้อมูล ด้านการเรียนรู้ ด้านการค้นคว้า และด้านการฝึกฝน มีระดับความพึงพอใจอยู่ในระดับมาก เช่นกัน
Download
|
ดูรายการทั้งหมด |